เทคนิคเขียนบทความ SEO ให้ติดอันดับบน Google ตลอดกาล

เทคนิคเขียนบทความ SEO

เทคนิคการเขียนบทความ SEO ถือเป็นสิ่งสำคัญต่อธุรกิจที่ใช้เว็บไซต์เป็นช่องทางหลักในการดึงดูดลูกค้า หรือ Traffic เข้าเพื่อเก็บ Lead หรือ ปิดการขาย บทความที่เขียนขึ้นไปติดอันดับแรกๆ บน Google นั้น จะต้องเขียนให้ถูกหลักการทำ SEO เราจะพาคุณมาทำความรู้จักว่า บทความ SEO คืออะไร มีวิธีการเขียนอย่างไร หลายคนยังเข้าใจว่าการทำ SEO Content หรือการเขียนบทความ SEO คือการใส่ Keyword เข้าไปเยอะๆ เราขอค้าน ถึงแม้การใส่ Keyword การใส่ Keyword ในจำนวนที่เยอะเกินไป บางครั้งอาจส่งผลเสียต่อ SEO ด้วยก็เป็นได้ เราจะพยามรวบรวมประสบการณ์ของเอเจนซี่เราทั้งหมดที่ทำให้ลูกค้ากว่า 50เว็บไซต์ มาสรุปเฉพาะประเด็นที่สำคัญให้ออกมาง่ายๆ หากใครยังเป็นมือใหม่เกี่ยวกับ SEO แนะนำให้ลองอ่านบทความ SEO ของเราได้เลย

เทคนิคการเขียนบทความ SEO หรือ SEO Content คืออะไร

บทความ SEO คือ การเขียนบทความ และถูกปรับแต่งให้เป็นไปตามคอนเซปต์ของ Search Engine เช่น Google ให้สามารถตอบโจทย์ผู้ใช้ที่เข้ามาค้นหาได้ดี ก็จะถูกนำมาแสดงในอันดับแรกๆ ซึ่งคอนเซปต์ที่ Search Engine อย่าง Google ใช้ในการพิจารณา เราจะเรียกว่า Google Algorithm จะเป็นตัวพิจารณาว่าบทความของเราเป็นไปตามเกณฑ์ และมีคุณภาพต่อ SEO Content คือ ภาพใหญ่ของการทำบทความ SEO มีการวางโครงสร้างเนื้อหาในภาพรวม การเชื่อมโยงของเนื้อหา เช่น ถ้าเราทำบทความ SEO ก็อาจจะเขียน 1-2 เรื่อง เฉพาะเวลาที่อยากจะเขียน นอกเหนือจากการทำ SEO ใน Keyword ที่เกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการโดยตรง ก็คือการทำ SEO ในส่วนของบทความ และรูปแบบของคอนเทนต์ จะเน้นเรื่องการให้ความรู้ หรือการทำ Evergreen Content ที่สามารถให้คำตอบผู้ใช้ที่เข้ามาค้นหาในเรื่องนั้นๆ ได้ เช่น หากธุรกิจของคุณคือจำหน่าย “วาซาบิ” แน่นอนว่า Keyword หลักๆ ที่ต้องทำ SEO ก็จะเป็นคำต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับ “วาซาบิ” เพื่อที่เวลาผู้ใช้เข้ามาค้นหาไอเดียในการรับประทานวาซาบิ ซึ่งในบริการรับทำ SEO ปกติก็จะต้องครอบคลุมทั้ง Keyword ที่เกี่ยวข้องกับสินค้าโดยตรง เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในการเพิ่ม Organic Traffic และ ROI

ประโยชน์ของการทำบทความ SEO

  1. บทความที่มีการปรับแต่งตามหลัก SEO มีโอกาสติดหน้าแรกของ Google มากกว่า
  2. การติดหน้าแรก Google จะช่วยเพิ่ม Organic Traffic เข้าเว็บไซต์
  3. ถ้าเราทำบทความ SEO ต่อเนื่อง SEO Content ก็จะยิงมีหลายบทความที่มีโอกาสติดหน้าแรก เปรียบเหมือนเป็นประตูหลายบานที่จะเชื่อมโยง Potential Customer
  4. คนเราเวลามีปัญหาอะไร หรืออยากรู้อะไร ก็มักจะพึ่ง Google ถ้ากลุ่ม Potential Customer ค้นหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการของเรา และเจอบทความจากเว็บไซต์เราที่สามารถช่วยตอบปัญหา หรือนำเสนอข้อมูลที่เป็นประโยชน์ ทำให้ได้รับการยอมรับในด้านความเชี่ยวชาญ ความน่าเชื่อถือ
  5. ไม่ว่าจะธุรกิจ B2B หรือ B2C ก็สามารถวางแผนกลยุทธ์การทำบทความ SEO ได้
  6. การทำบทความ ​SEO ถือว่าเป็นการตลาดที่ใช้งบประมาณน้อยมาก
  7. การอัปเดตบทความ SEO จะทำให้ Google มองว่าเว็บไซต์มีความเคลื่อนไหว ส่งผลต่อประสิทธิภาพของ SEO

เทคนิคการเขียนบทความ SEO

  1. กำหนด Keyword

การทำบทความ SEO คือการทำให้บทความนั้นขึ้นแสดงผลบน Google เมื่อมีการค้นหาใน Keyword ที่เกี่ยวข้อง เช่น ร้านกาแฟร้านหนึ่งขายอุปกรณ์ดริปกาแฟด้วยตัวเองที่บ้าน พบว่ามีคอกาแฟมือใหม่ที่ค้นหาเกี่ยวกับวิธีการดริปกาแฟบน Google โดยโฟกัส Keyword คำว่า “การดริปกาแฟ” “วิธีดริปกาแฟ” “เทคนิคการดริปกาแฟ” โดยการกำหนด Keyword คำอื่นที่เกี่ยวข้อง ไม่ควรกำหนดคำที่ออกนอกเนื้อหาเกิน

2. การตั้งชื่อหัวข้อ

หัวข้อของบทความเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ตำแหน่ง H1 ซึ่ง Google จะให้ความสำคัญมาก ดังนั้นเราควรให้น่าสนใจเพื่อให้ผู้ใช้คลิกเข้ามาอ่าน และต้องมี Keyword หลักของบทความ ดังนั้น เลือกเฉพาะคำหลักเท่านั้น ยกตัวอย่างในกรณีของร้านกาแฟ ก็อาจใส่หัวข้อเป็น “5 เทคนิคการดริปกาแฟให้อร่อย หรือมีการผสมผสานอีก 2 คำจาก Keyword Ideas ด้านบน “เทคนิคการดริปกาแฟ” และ “การดริปกาแฟให้อร่อย” โดยไม่กระทบกับ Keyword หลัก

  • การวางโครงเนื้อหาบทความ

ไม่ควรเขียนทั้งบทความติดกันยาวจนไม่น่าอ่าน โดยมีหัวข้อย่อยที่ใช้ H2 หรือ H3 เป็น Tag ของหัวข้อตามลำดับเนื้อหาบทความแต่ละย่อหน้าก็ไม่ควรยาวมากเกินไป ในแต่ละบทความ ควรแบ่งเนื้อหาออกเป็น 3 ส่วนหลักๆ

  • Introduction เกริ่นนำประมาณ 1-3 ย่อหน้าสั้นๆ
  • Body หรือเนื้อหาหลัก ความยาว 800-100 คำ โดยเนื้อหาที่จะเขียนเพื่อประสิทธิภาพด้าน SEO ยังไม่ก็ไม่ควรต่ำกว่า 800 คำ
  • Conclusion สรุปเนื้อหา ประมาณ 1-2 ย่อหน้า ความยาวประมาณ 200-300 คำ
  1. Meta Title และ Meta Description

ส่วนนี้คือส่วนที่จะแสดงบน Google ดังนั้น ทั้งใน Meta Title และ Meta Description ควรเขียนให้น่าสนใจ ด้วยในส่วนของ Meta Description นอกจาก Primary Keyword แล้ว ก็ยังสามารถใส่ Secondary Keyword เพิ่มเข้าไปได้ด้วยเช่นกัน รวมถึงบางเว็บไซต์อาจมีการตั้งค่าอัตโนมัติโดยการใช้ Meta Title และ Meta Description ซ้ำกันทุกหน้า แบบนี้ไม่ดีต่อ SEO แน่ๆ

  1. การแชร์คอนเทนต์ไปยังช่องทาง Social Media
  2. อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญคือ Social Signal ที่ Google บทความนั้นๆ ถูกแชร์ หรือมี Engagement บน Social Media อย่างไร สะท้อนให้ Google ได้เห็นถึงความ Popular ของบทความนั้นๆ
  3. การทำ Off-page Optimization ควบคู่ไปด้วย

การทำ Backlink ก็ยังเป็นสิ่งจำเป็นในบาง Keyword ที่มีการแข่งขันสูง ซึ่งการทำ Link Building จำเป็นต้องศึกษาให้ดีเสียก่อน เพราะหากทำลิงก์ที่ไม่มีคุณภาพ Google จะมองว่าเว็บไซต์นั้นไม่มีคุณภาพ